วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

13 เทคนิคการเรียนเก่ง

กวดวิชา

13 เทคนิคการเรียนเก่ง แบบง่ายๆ

1. รับผิดชอบ
- รับผิดชอบตนเอง ไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ เป็นผู้ชนะจากความสามารถของตน 

2. เริ่มต้นดี
-ช่วงเดือนแรกในรั้วมหาวิทยาลัย ถือเป็นช่วงวิกฤตของน้องใหม่ หากเริ่มต้นดี ความสำเร็จจะไม่อยู่ไกลเกินเอื้อม

3. กำหนดเป้าหมายในการเรียนอย่างแน่วแน่
- กำหนดเป้าหมายในการเรียนให้ชัดเจน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และทุ่มเทความพยายามให้บรรลุเป้าหมายนั้น

4. วางแผน และจัดการ
- มีการวางแผน จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมที่ต้องทำ หากทำตารางเวลาเป็นรายสัปดาห์ได้ยิ่งดี 

5. มีวินัยต่อตนเอง
- เมื่อกำหนดเป้าหมาย วางแผน และจัดการ ตามข้อ 4 และ 5 แล้วต้องสัญญากับตนเองอย่างแน่วแน่ที่จะมีวินัย และปฏิบัติตาม  

6. อย่าล้าสมัย
- วิทยาการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การค้นคว้าหาความรู้ ต้องอิงกับข้อมูลที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์ 

7. ฝึกฝนตนเองให้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ศึกษาข้อเสนอแนะในคู่มือเล่มนี้ และฝึกทักษะการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ติดตัวตลอดไป 

8. เตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่ชั้นเรียน
- เตรียมตัวเป็นผู้ใฝ่หาความรู้อย่างแข็งขัน หากเป็นไปได้เตรียมอ่านเอกสารที่จะเรียนมาก่อนเข้าห้องเรียน 

9. มุ่งมั่น จดจ่อต่อบทเรียน
- มีสมาธิ สนใจ ตั้งใจ เวลาอาจารย์สอน ไม่เข้าเรียนเพื่อพูดคุยกัน ซังกะตาม รอเวลาเลิกชั้น  

10. เป็นตัวของตัวเอง
- รู้จักคิดและทำ ด้วยความสามารถของตนเองคิดเสมอว่าเราเป็นผู้หนึ่งที่มีศักยภาพสูง 

11. มีความกระตือรือร้น
- ความสำเร็จเป็นของผู้ที่มีความริเริ่ม เป็นฝ่ายรุกที่จะมุ่งหน้า และคว้าความสำเร็จเป็นของตน 
  
12. มีสุขภาพดี
- อย่าลืมใส่ใจต่อสุขภาพร่างกาย กิจกรรมนันทนาการ และกิจกรรมสังคม วางแผนจัดเวลาต่อสิ่งเหล่านี้ให้พอเหมาะ 

13. เรียนอย่างมีความสุข
- พยายามเก็บเกี่ยวความน่าสนใจในบทเรียน คิดเสมอว่าทุกวิชาน่าเรียนรู้ น่าสนุกทั้งนั้น แล้วท่านจะพบว่า เราก็เรียนอย่างมีความสุขได้

10 วิธีดูแลสมอง

สอนพิเศษ,เรียนพิเศษ



ที่มา http://www.cu-tututor.com/วิธีดูแลสมอง.html
คิดเพื่อสมองดี           ลอง สังเกตว่าวันไหนที่เราตื่นขึ้นตอนเช้า แล้วรู้สึกว่าอารมณ์ดี วันนั้นเราจะรู้สึกดีไปตลอดวัน แต่ถ้าวันไหนเรารู้สึกเบื่อ ๆ หรือเจอเรื่องแย่ ๆ แต่เช้า ความรู้สึกนี้ก็จะคิดตัวไปตลอดทั้งวัน ทำอะไรก็จะติดขัดไปหมด ดังนั้นหากอยากให้มีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้น และทำให้สมองรู้สึกปลอดโปร่งคิดอะไรออก ก็ต้องคิดถึงแต่เรื่องดี ๆ ส่วนเรื่องร้าย ๆ ก็ลืมมันซะ
สอนพิเศษ,เรียนพิเศษ
พักผ่อนหันหาอากาศบริสุทธิ์           การพักผ่อนหย่อนใจหลังจากทำงานหนัก ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ เพราะสมองจะได้พักผ่อนจากเรื่องสำคัญมาก ๆ และเรื่องราวความเครียดต่าง ๆ ที่ต้องเจออยู่เป็นประจำ ในหนึ่งปี อาจจะมี 2-3 วัน ที่คุณควรเลือก ที่จะเดินทางไปต่างจังหวัด เพื่อหาที่พักตากอากาศแบบสบาย ๆ เงียบสงบ ให้สมองได้พักผ่อน รวมทั้งหาอากาศที่ปราศจากมลพิษ เพื่อเติมพลังให้สมอง
สอนพิเศษ,เรียนพิเศษ
เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
          การพัฒนาสมองให้ได้ผลดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ พยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา จะได้พัฒนาสมอง เช่น เทคโนโลยีใหม่ ๆ เรื่องราวการแพทย์ใหม่ ๆ หรือแม้กระทั่งเมนูอาหารอร่อย ๆ ที่คุณไม่เคยลอง ก็ถือว่าเป็นการทำให้สมองได้พัฒนาเช่นกัน การเล่นเกมส์ปริศนาอักษรไขว้ หรือสแครบเบิล ก็สามารถที่จะทำให้ความจำดีขึ้นได้ถึง 40% (จากผลการทดลองของอาสาสมัครในรายการบีบีซี ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549)
สอนพิเศษ,เรียนพิเศษ
เขียนหนังสือด้วยมือที่ไม่ถนัด 
          การ เขียนถือเป็นการพัฒนาสมองได้เหมือนกัน เพราะสมองซีกซ้ายของเรานั้นเป็นส่วนบังคับการเขียน หากใครที่ถนัดมือไหนอยู่ ก็ให้หัดลองใช้มืออีกข้างเขียนหนังสือ หรือวาดภาพ เพื่อให้สมองได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เพิ่มเติม และยังมีส่วนช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นด้วย
สอนพิเศษ,เรียนพิเศษ
ยิ้มไว้โลกจะแตกก็ยิ้มไว้           เวลาที่เราทำอะไรก็ตาม หากเรายิ้มคนรอบข้างก็จะได้รับทราบถึงความรู้สึกดีๆ ของเรา แต่ควรจะยิ้มจากภายใน ไม่ต้องฝืน เพราะแววตาของรอยยิ้มนั้นหลอกกันไม่ได้ หากคุณรู้จักที่จะยิ้ม ก็จะทำให้สมองมีแต่เรื่องดี ๆ มีความสุข การยิ้มอย่างเป็นประจำและต่อเนื่องมีโอกาสที่ร่างกายจะหลั่งเอ็นโดรฟินออกมา ซึ่งสารนี้จะไปออกฤทธิ์ให้ม่านตาขยายและทำให้ตาเป็นประกาย
สอนพิเศษ,เรียนพิเศษ
หายใจช่วยพัฒนาสมอง
          การ หายใจอย่างถูกวิธี มีส่วนช่วยพัฒนาสมองให้ได้ผลดีมากทีเดียว เพราะสมองของเรานั้นใช้ออกซิเจนมากถึง 20-25% ของทั้งหมดที่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากเรารู้จักหายใจ เข้า-ออก ช้า ๆ ลึก ๆ เพียงแค่วันละ 15 นาที ก็จะทำให้สมองได้รับพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม

สอนพิเศษ,เรียนพิเศษ
เข้านอนก่อนหัวค่ำ
          ภายในร่างกายคนเรามีนาฬิกาชีวภาพอยู่ ดังนั้นหากเราเข้านอนในช่วงเวลาที่ร่างกายหลั่งสารเมลาโทนิน ก็จะทำให้ร่ายกายและสมองได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่

สอนพิเศษ,เรียนพิเศษ นั่งสมาธิ จิตมีพลัง           การ นั่งสมาธิ จะส่งผลให้สมองเข้าสู่ช่วงที่เป็นคลื่น Theta (ธีค้า หรือการที่สมองได้เข้าสู่การเข้าสมาธิแบบลึก) ทำให้สมองได้ผ่อนคลายสุด ๆ และเกิด Mental Imagery (ภาพจินตนาการที่สมองสร้างขึ้น) ส่งผลให้สมองเกิดความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการที่ดีออกมา ทำให้สามารถแก้ปัญหาในเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างสร้างสรรค์

สอนพิเศษ,เรียนพิเศษ เสริมวิตามิน กินไขมันดี          กินไขมันดี หรือที่เราเรียก โอเมก้า 3 เพื่อเข้าไปทดแทนส่วนของสมองที่เป็นในไขมันที่สึกหรอไป นอกจากนี้ยังมีวิตามินบำรุงสมองอื่น ๆ อีก เช่น สารสกัดจากใบแปะก๊วย วิตามินบี1 บี6 บี12 น้ำมันพริมโรสที่ช่วยให้เซลล์ชุ่มน้ำและวิตามินซีที่ทำให้กระปรี้กระเปร่า

10 วิธีดูแลสมองสอนพิเศษ,เรียนพิเศษ กินเพื่อสมองดี
          หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่า "กินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น" ทั้ง ๆ ที่รู้ แค่คนส่วนใหญ่ก็มักจะละเลยอาหารเช้า เพราะความเร่งรีบที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การกินอาหารเข้านั้นจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากอดอาหารมาตลอดคืน หากใครที่กินอาหารเช้าเป็นประจำก็จะทำให้ความจำดีขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกกินอาหารที่ดี และงดอาหารขยะอย่างเด็ดขาด

ห่วงเด็กรุ่นใหม่ “เน้นความรู้เพื่อแข่งขัน-จิตสาธารณะไม่มี”

Number of View: 634
553000001512401พ่อแม่หลายท่านที่เน้นให้ลูกได้ความรู้ทางวิชาการเพียบ ด้วยการอัดคอร์สติว เรียนเสริม แบบฝึกหัด ฯลฯ ต้องพิจารณาข่าวนี้ เมื่อนักวิชาการชื่อดังออกมาแสดงความห่วงใยเด็กไทยรุ่นใหม่ว่าเก่งความรู้ แต่เอาตัวไม่รอด ขาดความสุข และจิตใจแข็งกระด้างกันมากขึ้น

ดร.จิตรา ดุษฏีเมธา ประธานโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า เด็กไทยยุคนี้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เรียนรู้ทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว แต่ ความรู้ที่เด็กไทยมีอยู่ขณะนี้เป็นความรู้ที่จะนำไปสู่การแข่งขันมากเกินไป อีกทั้งยังเป็นความรู้ที่ต้องการบอกให้คนอื่น ๆ รับรู้ได้ว่า ดีกว่า เก่งกว่า แน่กว่าคนอื่นๆ ส่วนความรู้ที่จะนำไปสู่การคิดถึงคนอื่นหรือมีจิตสำนึกสาธารณะนั้นยังมีน้อย ความรู้ที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันมีน้อย
“ถ้าเมื่อไรครอบครัว โรงเรียนและสังคมให้ค่ากับความรู้ที่จะนำไปสู่การช่วยเหลือคนอื่นช่วยเหลือ สังคม เด็กจะมีความสุขภาคภูมิใจในตัวเอง ถ้าเราช่วยกันปลูกฝังให้เด็กไทยในทุกระดับมีความรู้ที่จะช่วยเหลือหรือมี จิตสำนึกสาธารณะ สิ่งที่เขาจะมีเพิ่มขึ้นในตัวเองก็คือ ความภาคภูมิใจและศักยภาพที่เพิ่มขึ้น เด็กจะมีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มากขึ้น ความ รู้เพื่อการแข่งขันไม่ได้ทำให้เด็กเอาตัวรอดได้ ความรู้ที่ใช้ช่วยเหลือหรือหยิบยื่นให้คนอื่นเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เขามี ความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางสังคมที่มีปัญหามากมายอยู่ในขณะนี้ เขาจะเข้าใจและรู้จักที่จะรักเพื่อนมนุษย์มากขึ้น”
?เด็ก ไทยยุคนี้เก่งคิด เก่งแข่ง เก่งขันเพื่อให้ตัวเองอยู่เหนือคนอื่นและชนะคนอื่นให้ได้ ขาดปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ขาดการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ขาดการประสานใจต่อใจกัน เด็กจะมุ่งสนใจสิ่งแวดล้อมที่อยู่นอกตัวไกลตัว จนทำให้จิตใจเด็กไทยแข็งกระด้าง คิดแต่เรื่องตัวเอง ไม่สนใจคนอื่น โลกที่ทันสมัยในยุคนี้ส่งเสริมให้เด็กไม่ต้องสนใจคนใกล้ตัว สอนให้เด็กเห็นแก่ตัวซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงอย่างมาก ดังนั้นการจะสอนให้เด็กยุคนี้หันมาสนใจจิตใจและเข้าถึงคนอื่นๆ มีจิตอาสาต่อคนอื่นๆ และสังคมให้มากขึ้น พ่อแม่ ครูต้องเริ่มให้เด็กๆ มีโอกาสได้พบปะเข้าสังคมกับบุคคลอื่นๆ ภายในสังคม ให้เด็กๆ ได้มีโอกาสอยู่กับบุคคลอื่นๆ บ้าง และไม่จำกัดวงกว้างอยู่แค่คนเท่านั้น ยังขยายไปสู่สัตว์ ต้นไม้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ เด็กจะเกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่สัมพันธ์เพียงแค่ความรู้กับความรู้ หากแต่ได้สัมพันธ์กับของจริงที่มีชีวิต ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะใจต่อใจ อันจะส่งผลดีต่อสุขภาพกายใจของเด็กไทยซึ่งหมายถึงความสุขแห่งชีวิตของเด็กมี มากขึ้นด้วย”
ที่มา : http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000014128

ห้องน้ำในสถานศึกษา : ตัวบ่งชี้คุณภาพที่ซ่อนเร้น

Number of View: 394
โรงเรียนในต่างจังหวัดจำนวนมากนักเรียนใช้ห้องน้ำของโรงเรียน ไม่ได้ บางแห่งไม่มีห้องน้ำและบางแห่งมีห้องน้ำแต่ไม่อยู่ในสภาพที่ใช้บริการได้ การจัดการให้ห้องน้ำในสถานศึกษาสามารถให้บริการที่ดีได้จึงเป็นความสามารถ ของผู้บริหาร และเป็นคุณภาพของสถานศึกษาที่ซ่อนเร้นแต่มีความสัมพันธ์อย่างมากกับคุณภาพ ด้านอื่น ๆ ของสถานศึกษา เช่น ด้านวิชาการ ด้านการกีฬา ด้านสุขอนามัย เป็นต้น ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า “โรงเรียนดี มีห้องน้ำสะอาด” ที่มา : เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์

กฎ กระทรวง ฉบับที่ 63 (พ.ศ. 2551 ) ตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ได้กำหนดให้อาคารสถานศึกษามีห้องส้วม 1 ที่ และที่ถ่ายปัสสาวะ 1 ที่ ต่อนักเรียน นักศึกษาชาย 50 คน สำหรับจำนวนนักเรียน นักศึกษาชายไม่เกิน 500 คน ส่วนที่เกิน 500 คนให้เพิ่มอย่างละ 1 ที่ ต่อจำนวนหน่วย 100 คน ส่วนนักเรียนนักศึกษาหญิงให้มีห้องส้วม 2 ที่ ต่อนักเรียน นักศึกษาหญิง 50 คน สำหรับจำนวนนักเรียนนักศึกษาหญิงไม่เกิน 500 คน ส่วนที่เกิน 500 คน ให้เพิ่มห้องส้วม 2 ที่ ต่อ 100 คน และให้มีอ่างล้างมือด้วย 1 ที่ ไม่บังคับจำนวนว่ามีสัดส่วนเท่าใดเช่นเดียวกับห้องอาบน้ำไม่บังคับว่าต้องมี
ห้อง น้ำในบทความนี้เป็นความหมายทั่วไปซึ่งหมายถึงห้องส้วม ซึ่งแยกเป็นห้องถ่ายอุจจาระ และที่ถ่ายปัสสาวะ หรือเรียกรวม ๆ ว่าห้องส้วม นอกจากนั้นยังหมายถึงห้องอาบน้ำ และอ่างล้างมือด้วย แต่ในการออกกฎกระทรวงได้จำแนกประเภทไว้สำหรับการควบคุมอาคารและการจัด สวัสดิการเกี่ยวกับห้องน้ำและห้องส้วมไว้โดยเฉพาะ ความสำคัญและความจำเป็นของห้องน้ำเป็นที่ทราบทั่วกันไม่ต้องกล่าวถึงอีก

ปริมาณและคุณภาพของห้องน้ำ

การสร้างห้องน้ำเพื่อ ให้มีปริมาณตามกฎกระทรวงนั้นใช้เป็นเหตุผลในการของบประมาณและสามารถสร้างให้ ได้ครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด แต่การดูแลรักษาให้ห้องน้ำในโรงเรียนหรือสถานศึกษาสามารถใช้การได้ดีเป็น ความรับผิดชอบของผู้บริหารสถานศึกษา มีผู้ปกครองจำนวนหนึ่งก่อนจะพาบุตรหลานของตนไปเรียนที่สถานศึกษา ได้ไปสำรวจดูห้องน้ำของสถานศึกษานั้นก่อนและใช้ปริมาณและคุณภาพของห้องน้ำ เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจส่งบุตรหลานเข้าเรียน แต่ถ้าเป็นโรงเรียนหรือสถานศึกษาในต่างจังหวัดหรือในเขตพื้นที่ ที่ผู้ปกครองไม่มีทางเลือกมากก็ต้องตกอยู่ในภาวะจำยอม
ถ้าโรงเรียน หรือสถานศึกษาแห่งใดมีห้องน้ำมากพอและมีความสะอาด หรือได้รับการดูแลอย่างดีจะเป็นที่กล่าวถึงอย่างชื่นชมในหมู่ผู้เรียนและผู้ ปกครองและแสดงถึงความภูมิใจในสถานศึกษาของตน ความพึงพอใจในห้องน้ำของสถานศึกษาของผู้เรียนและผู้ปกครองจึงเป็นตัวบ่งชี้ คุณภาพของสถานศึกษาอย่างหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้รับบริการได้ในส่วน นี้ ความสะอาดของห้องน้ำนอกจากจะบอกรสนิยมและภาพลักษณ์ของสถานศึกษาแล้วยังนำไป สู่ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของคนต่างชาติที่มาเยี่ยมชมสถานศึกษานั้น ๆ อีกด้วย

การจัดการห้องน้ำในสถานศึกษา

สถานศึกษา ตั้งแต่ระดับโรงเรียน วิทยาลัย จนถึงมหาวิทยาลัยมีความแตกต่างกัน การออกแบบสำหรับห้องน้ำและการจัดการห้องน้ำให้สามารถใช้บริการได้ดีย่อมมี ความแตกต่างกันด้วย นอกจากนั้นทำเลที่ตั้งของสถานศึกษาและการเอาใจใส่ดูแลของผู้รับผิดชอบในสถาน ศึกษาแต่ละแห่งยังแตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามการจัดการห้องน้ำในสถานศึกษาทุกระดับมีสิ่งที่เป็นพื้นฐาน ร่วมกันดังนี้
1. มีความสะอาด คุณภาพของห้องน้ำวัดได้จากความสะอาดของห้องน้ำ ทั้งที่สัมผัสได้ด้วยการเห็นและกลิ่นที่สะอาด การใช้น้ำยาเคมีสำหรับฆ่าเชื้อโรคและทำความสะอาดเป็นสิ่งจำเป็นต้องทำอย่าง เป็นระยะ และต่อเนื่องอยู่เสมอในแต่ละวัน

2. มีอุปกรณ์ห้องน้ำที่มีคุณภาพ ได้แก่โถส้วม โถปัสสาวะ อ่างล้างมือ ก๊อกน้ำ และสายฉีดชำระ เป็นต้น ควรเป็นอุปกรณ์ที่มีความคงทน มีมาตรฐานสำหรับการใช้งานสาธารณะได้ ซึ่งจะแตกต่างจากอุปกรณ์ที่ออกแบบสำหรับการใช้งานในบ้านเรือนหรืออาคารที่ พักอาศัย การซ่อมบำรุงอุปกรณ์ให้สามารถใช้งานได้ตลอดเวลาเป็นความจำเป็นและเป็นความ ท้าทายของการจัดการห้องน้ำที่ต้องทำให้ได้

3. มีแหล่งจ่ายน้ำเพียงพอ แรงดันของน้ำและปริมาณของน้ำสำหรับห้องน้ำต้องเพียงพอ โรงเรียนในต่างจังหวัดจำนวนมากไม่สามารถให้บริการห้องน้ำได้ถึงแม้จะมีห้อง น้ำก็ตามเพราะขาดแหล่งจ่ายน้ำได้ตลอดเวลาที่เปิดเรียน หรือตลอดทั้งปีการศึกษา ปริมาณน้ำและแรงดันน้ำยังเป็นปัจจัยสำคัญโยงไปถึงความสะอาดของของห้องน้ำอีก ด้วย

4. มีระบบระบายน้ำเสีย และการระบายอากาศที่ดี การอุดตันของท่อระบายน้ำเป็นปัญหาที่พบบ่อยของห้องน้ำ การออกแบบระบบการระบายน้ำเสีย การถ่ายเทอากาศและใช้มาตรการป้องกันการอุดตันของท่อระบายน้ำต้องมีการดำเนิน การอย่างเข้มงวดทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมและไม่สร้างมลพิษ หรือรบกวนผู้ที่อยู่ใกล้และอาจได้รับผลกระทบจากห้องน้ำ

5. มีความปลอดภัย ห้องน้ำในสถานศึกษาอาจถูกใช้เป็นที่สำหรับการกระทำผิดต่าง ๆ การดูแลเรื่องความปลอดภัย เช่น แสงสว่างที่เพียงพอ ไม่อยู่ในที่เปลี่ยว เป็นมุมอับหรือไกลเกินไป ความปลอดภัยเป็นพื้นฐานของความสำคัญของการจัดการห้องน้ำเช่นกัน
จาก การพิจารณาพื้นฐานสำคัญของการจัดการดูแลรักษาห้องน้ำในสถานศึกษาทั้ง “5 มี” ดังกล่าวจะพบว่า “มีค่าใช้จ่าย” เกิดขึ้นทั้งสิ้น เป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับการจัดการของสถานศึกษารัฐบาล การแก้ไขปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ในบางสถานศึกษาด้วยการจัดให้มีงบประมาณจาก เงินรายได้ของสถานศึกษาเองเข้ามาช่วยสมทบให้การจัดการห้องน้ำน่าใช้บริการ มากขึ้น ถ้าผู้บริหารจะเห็นความสำคัญของการให้บริการห้องน้ำที่สะอาดแก่ผู้เรียนก็ “สามารถหาวิธีการต่าง ๆ” เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ สำหรับสถานศึกษาเอกชนสามารถดำเนินการได้ดีอยู่แล้วเป็นส่วนมาก ยังเหลือแต่สถานศึกษาที่เป็นโรงเรียนของรัฐบาลบางแห่งในต่างจังหวัดที่ยัง ไม่สามารถจัดการห้องน้ำให้สามารถบริการผู้เรียนได้อย่างมีคุณภาพ เพราะแม้แต่ห้องน้ำของครู/อาจารย์เองก็ยังต้องได้รับการปรับปรุงคุณภาพเช่น กัน

สรุป

ห้องน้ำนอกจากเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคนที่ ต้องใช้บริการแล้ว การดูแลจัดการให้ห้องน้ำในสถานศึกษามีปริมาณเพียงพอและมีคุณภาพเป็นงานสำคัญ งานหนึ่งที่ท้าทายความสามารถในการบริหารจัดการของผู้บริหาร จากการสำรวจพบว่า โรงเรียนหรือสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงและมีผู้ต้องการเรียนจำนวนมาก สถานศึกษาเหล่านั้นล้วนมีห้องน้ำที่เพียงพอและสะอาดสำหรับผู้เรียนทั้งสิ้น ดังนั้น ห้องน้ำจึงเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพของสถานศึกษา ที่ซ่อนเร้นอยู่ และมีความสัมพันธ์กับคุณภาพด้านอื่น ๆ ของสถานศึกษา ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า “จะดูว่าโรงเรียนไหนดี ให้ไปดูที่ห้องน้ำโรงเรียนนั้น”
ผู้เขียน : รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์
ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/edu/133518

คอมพิวเตอร์ให้โทษ นักเรียนวัยรุ่นพากันอ่อนเลขและการอ่าน

Number of View: 393
สำนักข่าวออนไลน์ที่อังกฤษ เปิดเผยว่า ผลการสำรวจนักเรียนวัยตั้งแต่ 10 ขวบเป็นต้นไป จำนวนกว่า ครึ่งล้าน ทำให้ทราบว่าเทคโนโลยีกลับถ่วงความก้าวหน้าในผลสำเร็จของนักเรียนวัยรุ่น พวกเขาต่างอ่อนเลขและการเขียนอ่านเป็นแถว ที่มา : เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์

การศึกษาผลสำรวจส่อให้รู้ ว่าการให้เด็กวัย 10 ขวบขึ้นไปใช้คอมพิวเตอร์ เป็นผลเสียหายเรื้อรังและเกี่ยวโยงกับผลเสียขนาดปานกลาง แต่ก็มีนัยสำคัญทางสถิติ ในการสอบทำคะแนนวิชาเลขและการอ่าน
นายจาคอบ วิกเดอร์ ผู้เรียบเรียงรายงาน กล่าว ว่า “นักเรียนชั้นระดับ 5-8 ที่มีโอกาสใช้คอมพิวเตอร์เมื่ออยู่บ้าน มักได้คะแนนไม่ดีในการทดสอบเลขและการอ่านอย่างต่อเนื่อง” และเสริมว่า “ผู้บริหารโรงเรียนที่พยายามจะให้ลูกศิษย์ได้คะแนนดีขึ้น จะพบหลักฐานว่าการที่เด็กได้มีโอกาสใช้คอมพิวเตอร์ กลับเป็นผลเสีย” เขาได้ระบุว่า “เหตุที่เด็กยุ่งกับคอมพิวเตอร์ เรียนไม่ดี ก็เพราะทำให้ขาดสมาธิได้ ง่ายๆ กลับเอาเวลาไปคบหาสมาคมกับเพื่อนฝูงและเล่นเกมเสีย”

เขายังได้แนะนำว่า ผู้ปกครองควรจะติดตามเด็กให้ใกล้ชิดขึ้น และมั่นใจว่าเด็กมีเวลาว่างน้อยลง คอมพิวเตอร์ก็อาจจะให้คุณได้.

ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/edu/137794

หลักสูตร “โตไปไม่โกง” จุดเริ่มที่ดีถ้าทุกคนร่วมมือ

หลักสูตร โตไปไม่โกงจุดเริ่มที่ดีถ้าทุกคนร่วมมือ
Number of View: 845
                 เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมฝึกอบรมโครงการโรงเรียนสีขาว ในหลักสูตร คบเด็กสร้างชาติ โตไปไม่โกงซึ่งเป็นโครงการที่ริเริ่มขึ้น โดยทางกรุงเทพมหานครร่วมกับศูนย์สาธารณประโยชน์และประชาสังคมแห่งสถาบัน บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) และองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย ได้จัดทำหลักสูตรพิเศษขึ้นเพื่อปลูกฝังเด็กไทยในวัยอนุบาล จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่สาม ให้มีหัวใจใฝ่คุณธรรม อันเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่นที่นับเป็นปัญหาเรื้อรัง ในประเทศไทยมาเนิ่นนาน
ในหลักสูตรคบเด็กสร้างชาติ โตไปไม่โกง” (Anti-Corruption) นี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างค่านิยมและปลูกจิตสำนึกที่ถูกต้องให้แก่เยาวชน ในการร่วมกันต่อต้านการคอรัปชั่น โดยได้แบ่งการจัดกิจกรรมออกเป็นแต่ละระดับชั้น ตั้งแต่อนุบาล ถึง ประถมศึกษา และจะเน้นจัดกิจกรรมสร้างสรรค์สนุกสนานผ่านการเล่านิทาน การเล่นเกม  ร้องเพลง  แสดงละคร และศิลปะ ให้สอดคล้องกับสาระที่ครอบคลุม 5 ด้าน อันได้แก่1. ความซื่อสัตย์ (Honesty and Integrity)
การยึดมั่นในความสัตย์จริงและในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีความซื่อตรงและมีเจตนาที่บริสุทธิ์ ปฏิบัติต่อตนเองและผู้อื่นโดยชอบ ไม่คดโกง
2. รักความเป็นธรรม (Fairness and Justice)
การปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน อย่างมีเหตุผล ไม่เลือกปฏิบัติต่อเพศ เชื้อชาติ ชนชั้น สถานะทางเศรษฐกิจและสังคม
3. เป็นอยู่อย่างพอเพียง (Sufficiency and Moderation)
การดำเนินชีวิตโดยยึดหลักความพอประมาณ ไม่โลภ รู้จักยับยั้งชั่งใจ และไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
4. มีจิตสาธารณะ (Greater Good)
การคำนึงถึงสังคมส่วนรวม และพร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม
5. มีความรับผิดชอบ (Responsibility and Accountability)
การมีจิตสำนึกในบทบาทและหน้าที่ของตัวเองและปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุดด้วยการเคารพกฎเกณฑ์และกติกา
อย่างไรก็ดี ผมหวังว่าโครงการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนามากกว่าจะเป็นโครงการ ฉาบฉวยที่ก่อตั้งขึ้นตามสถานการณ์ หรือเพื่อเรียกคะแนนเสียง ซึ่งถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ขยายไปถึงการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา และในระดับอุดมศึกษา ซึ่งน่าจะเป็นวัยที่เข้าใจเรื่องของการคอรัปชั่นได้ดีกว่าเด็กในวัยอื่น ๆ แต่ก็ต้องอย่าลืมว่า ปัญหานี้แท้จริงแล้วไม่ได้เกิดมาจากเด็ก แต่จะมาจากใคร ใครเป็นผู้สร้าง แล้วใครต่างหากที่ควรจะเรียนรู้และได้รับการแก้ไขนั้น อยู่ที่ตัวคุณเองจะเป็นคนตอบดีกว่า ใช่ไหมครับ
ผู้เขียน : นายนรรัชต์  ฝันเชียร
ที่มา : มูลนิธิเด็ก

เพลงความรักเจ้าเอย

http://radio.sanook.com/artist/profile/รวมศิลปิน-อุบัติรักเกาะสวรรค์/63387/