วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

ทำไมการศึกษาไทยไร้คุณภาพ

ที่ผมคิดว่าการศึกษาไทยไรคุณภาพก็เราะว่า ครูครับ อย่าแรกที่เจอ ก็คือว่าผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือพระพยอม มีอยู่หัวข้อหนึ่ง ผมจำชื่อเรื่องไม่ได้แต่จำข้างในได้ พระพะยอมท่านเล่าว่า
ครอบครัวหนึ่งมีลูก5คน
 คนแรกหัวดีมาก                           ให้เป็นหมอ
 คนที่สองหัวดี                              ให้เป็นวิศวะ
คนที่สามหัวพอใช้                          ให้เป็นจิตรกร
 คนที่สีหัวอ่อน                               ให้เป็นครู
 คนที่ห้าโง่                                      ให้ไปบวช

                ลองสังเกตดูว่าคนส่วนมากจะให้เรียนอาชีพที่มีแต่เงินดีๆ แล้ววันนี้ผมฟังเรื่องเล่าจากอาจารย์ อาจารเล่าว่า ที่ต่างประเทศใครๆก็อยากจะเป็นครูเพราะรายได้พอๆกับหมอ แค่อาจารสอนเด็กประถมชั่วโมงนึงตก4000-10000บาท แล้วแต่วิชา ส่วนตามมหาลัยจะได้มากกว่า  ผมลองย้อนกลับมาคิดดูอาจเป็นเพราะว่าบ้านเค้าอาจคาครองชีพสูง ค่าจ้างครูเลยเยอะตาม อ้อลืมบอกไปครับที่เงินเดือน รัฐบาลให้เงินพอๆกับเอกชน  
                ลองกลับมาดูที่บ้านเราครูเงินเดือนแรกเข้าแค่ 8000 -10000บาท และต้องอยู่นานๆมากต้องทำผลงานให้ดีเงินเดือน ถึงจะเข้า29000+ ซึ่งผมคิดว่าน้อยมาก(แม่ผมเป็นครูมา25ปี) และจากข้างบนครูมีคุณภาพน้อยมากเพราะไม่มีใครเค้าอยากเป็นครู เพราะพวก วิศวะกร และ หมอ เงินเดือนแรกเข้า เกือบ100000บาท ลองเทียบดูแล้วราวๆฟ้ากับดิน แล้วคนที่จะมาเป็นครูส่วนมากเป็นพวกคนที่ไม่ค่อยมีเงินหัวค่อนข้างปานกลาง เข้าได้แค่วิทยาลัยราชภัทร ซึ่งเป็นมหาลัยของรัฐบาล เช่นมหาลัยรามคำแหง ซึ่งสามารถเข้าและจบปริญญาตรีได้ง่ายๆแค่ทำงานส่งให้ครบ  แต่ถ้าคนที่เข้ามหาลัยดังๆได้คนที่จะมาเป็นครูน้อยมากถ้าใจไม่รักจริง หรือเป็นแค่ทางเลือกสุดท้ายก็คงไม่มีทางจะสิ้นคิดมาเป็นครู แต่ถ้าเป็นครูส่วนมากจะเข้าประจำมหาลัยดังๆซึ่งรายได้คิดเป็นชั่วโมง        ผมคิดว่ารัฐบาลน่าจะให้ความสำคัญกับอาชีพครูมากกว่าหลักสูตรการศึกษา (จะไหวหรอแค่ตัวรัฐบาลเองยังไม่รอดเลย) แม่ผมเล่าให้ฟังว่า ปีหน้าจะมีหลักสูตรบังคับจากเดิมบังคับหลักสูตรจบแค่ ม.3 เปลี่ยนเป็น ม.6 ลองคิดดูนะครับว่า โรงเรียน ส.ป.ร. (ขอให้ตัวย่อ) ที่ผมเรียนอยู่จบ ม.6แค่ ไม่เกิน150คน แล้วถ้าเป็นหลักสูตรบังคับเด็กจะจบมากขึ้นแต่ก็จะไม่มีคุณภาพ เพราะคนที่ไม่อยากเรียนมาบังคับให้เรียนเรียนให้ตายก็ไม่รอด ผมอยากจะเสนอกับรัฐบาล แต่ก็ไม่กล้า
 ที่มา    http://atcloud.com/stories/23935



วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

ยาคุมบำรุงสมอง ขยายมันสมองของสตรีให้ใหญ่โตขึ้นกว่าเก่า

'ยาคุม'บำรุงสมอง
สตรีทั้งโลกจะต้องพึงใจ   เมื่อได้ ทราบว่ายาคุมกำเนิดเม็ดที่ต้องกินกันอยู่เป็นประจำ   ไม่แต่เพียงคุมกำเนิดเท่านั้น   หากยังจะช่วยให้สมองดีขึ้นด้วย   โดยมันช่วยให้มันสมองส่วนสร้างความชำนาญในการเข้าสังคมและความจำขยายใหญ่ ขึ้น
'ยาคุม'บำรุงสมอง ความจำและความเชี่ยวชาญทางด้านสังคมสูงขึ้น
นักวิจัยมหาวิทยาลัยซอลซเบิร์ก ในออสเตรีย พบว่าฤทธิ์ยาเม็ดคุมกำเนิด ทำให้ขนาดของมันสมองสตรีบางส่วนใหญ่ขึ้น   มีความจำและความเชี่ยวชาญทางด้านสังคมสูงขึ้น   ได้บันดาลให้มันสมองของผู้หญิงอังกฤษ   ซึ่งใช้อยู่ประจำมากถึง   3.5   ล้านคน   มีขนาดโตขึ้นมาร้อยละ  3  ซึ่งจะทำให้สมองทำงานได้มากขึ้น   โดยได้ดูจากภาพถ่ายอันคมชัดของสมองสตรีที่ใช้ยาเทียบกัน   ดร.เบลินดา  เพลตเซอร์  หัวหน้าคณะศึกษากล่าวว่า  คาดว่าฮอร์โมนเพศหญิงในยา จะต้องมีผลกับสมองของเพศหญิงอย่างมากมาย โดยยังไม่รู้สาเหตุ แต่ทฤษฎีอันหนึ่งอ้างว่า เพราะฮอร์โมนเพศหญิงซึ่งเคยห้ามการผลิตไข่   ได้มีฤทธิ์กระชับความสัมพันธ์ ระหว่างเซลล์ประสาทในสมองด้วย.

ที่มา   http://www.biospray2rich.com/article/articledetail.php?article=37&category=1
กินหวาน ระวังสมองเฉื่อย ความต้านทานต่ำ
              คงเป็นข่าวร้ายพอสมควรสำหรับบรรดา "ชมรมคนรักความหวาน" ที่ชื่นชอบ "น้ำตาล" เป็นชีวิตจิตใจ เพราะผลวิจัยทางการแพทย์สรุปออกมาแล้วว่า มีภัยอันตรายที่แฝงเร้นอยู่ภายใต้ความหวานนั้นมากมายทีเดียว

              แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ เมื่อได้ตรวจสอบข้อมูลไปยังกระทรวงสาธารณสุขที่เฝ้าติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาลของคนไทยทำให้พบว่า ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการบริโภคน้ำตาลของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มเฉลี่ยจากคนละ 12 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2526 กลายเป็นคนละ 29 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2545 เรียกว่า เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 2 เท่าตัว
              ซ้ำร้ายดัชนีที่เกิดขึ้นยังเป็นแนวโน้มเดียวกันกับการบริโภคน้ำตาลในรูปแบบขนม ลูกอมและเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ซึ่งปรากฏชัดเจนกับเด็กรุ่นใหม่ที่กระแสบริโภคถูกกระตุ้นโดยการโฆษณา

              "จากข้อมูลทางโภชนาการและสุขภาพ เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินควร นอกจากนำมาซึ่งปัญหาโรคอ้วนและโรคฟันผุแล้วการรับประทานน้ำตาลมากๆ มีอันตรายต่อสุขภาพหลายประการโดยน้ำตาลซูโครสหรือฟรุกโตส จะทำให้ระดับไขมัน กลูโคส อินซูลินและกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคเบาหวาน
              "ผู้ที่ชอบกินหวานจัดบ่อยๆ จะทำให้ระบบความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเสียไป ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดต่ำลง ผลที่ตามมาก็คือทำให้ติดเชื้อง่าย นอกจากนี้การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อยๆ ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นเวลานานจะก่อให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง อีกทั้งการรับประทานน้ำตาลซูโครสมาก ทำให้กรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตฟาน ถูกเร่งเข้าสู่สมองมากเกินไป ทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมอง ผลที่ตามมาก็คือทำให้เกิดอาการเซื่องซึม เหนื่อย ไม่กระฉับกระเฉง ซึ่งหากเป็นในเด็กจะทำให้เรียนไม่รู้เรื่องและหากเป็นวัยทำงานก็จะทำงานไม่ มีประสิทธิภาพ" นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลถึงอันตรายจากการบริโภคน้ำตาล เมื่อติดตามพิษร้ายที่เกิดจากความหวานต่อไป ก็ทำให้ได้ข้อมูลอีกด้วยว่า การรับประทานอาหารรสหวานมากไป จะทำให้เด็กอิ่มและตัดโอกาสที่เด็กจะได้รับสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย

              ผลการศึกษาในปี พ.ศ.2546 พบว่าเด็กกลุ่มอายุ 6-15 ปี ได้รับอาหารที่ให้พลังงานมากถึง 23 % สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 10 % กว่าเท่าตัว ตรงนี้บ่งชี้ว่า สถานการณ์การกินหวานในเด็กไทย อยู่ในขั้นที่ควรร่วมกันแก้ไขโดยด่วย
              "ในความเป็นจริงนั้น การติดหวานสามารถถูกสร้างขึ้นตั้งแต่วัยเริ่มต้นของชีวิต โดยพ่อแม่และผู้ใหญ่เป็นกลุ่มแรกที่สร้างภาวะให้เด็กติดหวาน เนื่องจากบริโภคนิสัยของเด็กจะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงขวบปีแรก เริ่มจากนมและอาหารเสริมที่ป้อนให้ เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กจะติดอาหารหวานและจะเพิ่มปริมาณความหวานมากขึ้น เรื่อยๆ เนื่องจากคนที่เคยชินรสหวาน เมื่อได้รสหวานสมองจะหลั่งสารชนิดหนึ่งเรียกว่าโอปิออยด์( Opioid) ออกมาทำให้เกิดความพอใจ และอยากกินหวานทำให้อ้วนได้เร็ว
              "ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนในเรื่องนี้อย่าง จริงจังโดยเริ่มจากส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่แทนนมขวด พร้อมทั้งจะมีการประกวดโรงพยาบาลปลอดนมขวดทั่วประเทศ ส่งเสริมให้เด็กกินนมรสจืด แทนนมรสหวานหรือนมปรุงรส ส่งเสริมให้เด็กกินผลไม้ที่รสไม่หวานแทนการกินขนมหวาน และรณรงค์ให้งดการเติมน้ำตาลในก๋วยเตี๋ยว อีกทั้งให้งดการดื่มน้ำอัดลมและอมท๊อฟฟี่ด้วย" ปลัดกระทรวงสาธารณสุขสรุปแผนการรณรงค์เพื่อให้เด็กไทยรอดพ้นจากการบริโภค ความหวานมากเกินไปทิ้งท้าย


ที่มา http://www.vcharkarn.com/varticle/42172
ปัสสาวะแต่ละสีบอกให้คุณรู้ว่าเป็นอะไร?
ปัสสาวะ (Urine) ออกมาเป็นสีอมแดง หากปัสสาวะออกมาเป็นสีนี้ต้องลองนึกให้ออกว่าได้รับประทานอาหารอะไรที่เป็นสีทำนองนี้หรือเปล่า เช่น แบล็คเบอร์รี่หรือผักกาดม่วง แต่ถ้าแน่ใจว่าไม่ได้กินอะไรใกล้เคียงกับสีแดงเลย ก็อาจเป็นลางร้าย เพราะสีแดงนั้นอาจจะเป็นเลือดที่ขับออกมาจากไตหรือกระเพาะปัสสาวะอาจอักเสบ หรือไม่ก็อาจจะมีอะไรในร่างกายที่ฉีกขาดเป็นแน่ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน
ปัสสาวะเป็นสีน้ำตาล มองได้ 2 อย่างคือ อาจจะเกิดจากการรับประทานถั่วในปริมาณที่มาก หรือว่าอาจจะเป็นลิ่มเลือดที่ปนออกมาก็ได้ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ดีกว่า
ปัสสาวะออกเป็นสีเหลือง   ถ้าปัสสาวะออกเป็นสีเหลืองอ่อนเป็นไปได้ว่าวันนั้นร่างกายจะได้รับวิตามินบี 2 มากเกินความต้องการจนต้องขับออกมา แต่ถ้าเป็นสีเหลืองเข้มก็หมายความว่า คุณดื่มน้ำน้อยเกินไปแล้ว แต่ถ้ามั่นใจว่าดื่มน้ำเยอะแล้วแต่ทำไมปัสสาวะยังเป็นสีเหลืองเข้มอยู่เหมือนเดิม ก็คงต้องรีบปรึกษาแพทย์เพราะอาจมีโรคไตแฝงมาแล้วก็ได้
ปัสสาวะมีสีขุ่น ในผู้ที่ปัสสาวะสีขุ่นให้ลองดื่มน้ำส้มดูว่าหายหรือไม่ ถ้าไม่หาย อาจเนื่องมาจากติดเชื้อบางอย่างก็ได้ อาการอย่างนี้ควรปรึกษาแพทย์
ปัสสาวะมีสีส้ม อาจเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาโพรีเดียมที่ใช้ในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ปัสสาวะเป็นสีน้ำเงิน ถ้าปัสสาวะมีสีอย่างนี้ ไม่ต้องแปลกใจ โดยเฉพาะหากคุณทานยาแก้อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เพราะในยามีส่วนผสมของสารเมธีลีน และขับออกมาทางปัสสาวะ ปัสสาวะจึงมีสีออกฟ้า ๆ
            ทีนี้เวลาเราเข้าห้องน้ำก็ลองสังเกตุกันนะคะ  เพื่อถ้าเราเป็นอะไรเราจะได้รักษาได้ทันเวลาก่อนที่เราอาจจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ค่ะ

ไอคิวดี ... ไอโอดีนช่วยได้

 ไอคิวดี ... ไอโอดีนช่วยได้

เมื่อพูดถึง “ไอโอดีน” คนไทยส่วนใหญ่จะนึกถึง“โรคคอพอก” เนื่องจากถูกถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่นว่า ถ้าขาดสารไอโอดีนจะทำให้เกิดโรคคอพอก ถ้าไม่อยากเป็นโรคคอหอยพอกต้องบริโภคอาหารทะเล เช่น ปลาทะเล ปู หอยทะเล  แต่ใครจะรู้บ้างว่าสารไอโอดีนนั้นมีผลต่อระดับสติปัญญาหรือไอ คิวของเราด้วย และในปัจจุบันคนไทยเสี่ยงเป็นโรคเอ๋อหรือโรค ปัญญาอ่อนกันมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการได้รับปริมาณสารไอโอดีนไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน และคนไทยเองก็ยังขาดความรู้ในเรื่องของไอโอดีน จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสารตัวนี้เท่าที่ควร หากอยากรู้ว่าไอโอดีนนั้นมีความสำคัญอย่างไรกับเราบ้าง ติดตามอ่านกันเลยค่ะความ สำคัญของไอโอดีนต่อร่างกาย            ไอโอดีน คือ ธาตุที่เกิดในธรรมชาติ มีมากในสัตว์และพืชในทะเล เป็นธาตุที่จำเป็นแก่ร่างกายแม้ต้องการเพียงเล็กน้อยแต่ก็ขาดไม่ได้ เพราะเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นในการผลิตฮอร์โมนของต่อมธัยรอยด์ ซึ่งต่อมธัยรอยด์จำเป็นต้องใช้ไอโอดีนเพื่อสร้างฮอร์โมน ชื่อว่า “ธัยร๊อกซิน” ฮอร์โมนนี้จำเป็นสำหรับควบคุมการทำหน้าที่และเสริมความเจริญเติบโตตามปกติ ของสมอง ประสาท และเนื้อเยื่อของร่างกาย โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ถ้าขาดสารไอโอดีนแล้วจะส่งผลให้สมองเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ระดับสติปัญญาของเด็กก็จะลดลง ที่สำคัญถ้าหญิงตั้งครรภ์ขาดสารไอโอดีน อาจทำให้ทารกตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์ แท้ง พิการ หรือปัญญาอ่อนและเป็นเด็กเอ๋อได้ไอโอดีนกับโรคเอ๋อ...            ปัจจุบันโรคปัญญาอ่อนที่เกิดกับมนุษย์มีสาเหตุเกิดได้หลายประการด้วยกันเช่น อาจจะเกิดจากพันธุกรรมที่เรียกว่า Down’s syndrome หรือ Mongolism โรคนี้เกิดจากมีจำนวนโครโมโซมผิดปกติ ป้องกันได้ยาก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับยีนส์ และการมาจับคู่กันของยีนส์ ส่วนโรคปัญญาอ่อนอีกชนิดหนึ่ง เราเรียกว่า โรคเอ๋อ เป็นโรคปัญญาอ่อนที่เกิดขึ้นเนื่องจากมารดาไม่มีความรู้เกี่ยวกับด้านโภชนาการ เมื่อตั้งครรภ์และแม่ขาดไอโอดีนจะมีผลกระทบไปถึงทารกที่อยู่ในครรภ์ด้วย ทำให้ทารกที่คลอดมาเป็นโรคปัญญาอ่อน เนื่องจากร่างกายของแม่ ในช่วงตั้งครรภ์ขาดสารไอโอดีน จึงทำให้ขาดฮอร์โมนธัยร๊อกซินซึ่งมีผลเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของร่าง กายและสมองทารก เมื่อคลอดออกมาจึงปัญญาอ่อนภาวะผิดปกติจากการขาดสารไอโอดีนสามารถแบ่งได้ตามช่วงอายุ ดังนี้            ทารกในครรภ์ จะทำให้เกิดการแท้งหรือตายก่อนกำหนดได้ง่าย อัตราตายของแม่ในการคลอดสูง หากรอดชีวิตเมื่อโตขึ้นจะมีอาการทางประสาท ปัญญาเสื่อม เป็นใบ้ หูหนวก ขาแข็ง กระตุก ตาเหล่ ร่างกายแคระแกรน
           
ทารกแรกเกิดการทำหน้าที่ของต่อมธัยรอยด์ต่ำกว่าปกติ แต่กำเนิด มีอัตราป่วยและตายสูง
           
เด็กและวัยรุ่น มีความเจริญทางสมองสติปัญญา และการเจริญเติบโตทางร่างกายช้า เป็นคนปัญญาอ่อน
            ผู้ใหญ่ คอพอกและมีอาการแอบแฝง ทำให้การ ทำหน้าที่ของร่างกายด้อยลง ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสมรรถภาพในการทำงาน ร่างกายและจิตใจเสื่อมถอย หากเป็นเพศชายจะมีอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สำหรับผู้หญิงประจำเดือนอาจมาไม่ปกติ





บริโภคไอโอดีนเท่าไร? ถึงจะพอดี            โดยปกติร่างกายคนเราต้องการสารไอโอดีนรวมกันแล้วไม่เกิน 1 ช้อนชา หรือเฉลี่ยแล้วในวันหนึ่ง ๆแม้ว่าร่างกายต้องการสารไอโอดีนเพียงแค่ 150 ไมโครกรัมเท่านั้น แต่ก็ขาดไม่ได้แม้แต่วันเดียว เพราะร่างกายไม่สามารถสะสมไว้ได้ สารไอโอดีนบางส่วนจะถูกนำไปใช้ในการสร้างฮอร์โมนสำหรับการเติบโตของร่างกาย และสมอง ส่วนที่เหลือจะถูกขับออกจากร่างกาย เราจึงจำเป็นต้องกินอาหารที่มีสารไอโอดีนทุกวัน

            ที่ผ่านมาเราจะได้รับสารไอโอดีนจากการรับประทานอาหารที่มีสารไอโอดีน เช่น อาหารทะเล ไม่ว่าจะเป็นปลาทะเล ปู สาหร่ายทะเล หรือหอยทะเล มีประชาชนจำนวนมากที่ไม่ได้รับสารไอโอดีนที่เพียงพอ เนื่องจากฐานะทางเศรษฐกิจหรือที่อยู่อาศัยไม่เอื้ออำนวยให้ซื้อหาอาหารดังกล่าวมารับประทาน
         
   สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคได้รับไอโอดีนมากขึ้น โดยได้ออกกฎหมายปรับปรุงประกาศกระทรวงสาธารณสุขจำนวน 4 ฉบับ ได้แก่ เกลือบริโภค น้ำปลา น้ำเกลือปรุงอาหาร และผลิตภัณฑ์ปรุงรสที่ได้จากการย่อยโปรตีนของถั่วเหลือง เช่น ซีอิ๊ว ซอสปรุงรส โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่กล่าวมาข้างต้น จะต้องมีสารไอโอดีนเป็นส่วนผสมตามที่ อย.กำหนด ซึ่งอย. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการออกประกาศดังกล่าวจะทำให้ผู้บริโภคได้รับปริมาณสารไอโอดีนที่เพียงพอเลือกอย่างไร “ผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีน”            ผู้บริโภคสามารถสังเกตว่าผลิตภัณฑ์ที่มีการเสริมไอโอดีนลงไป จะมีคำว่า “ผสมเกลือเสริมไอโอดีน” หรือ“ใช้ไอโอดีนเป็นส่วนผสม” หรือ “ผสมไอโอดีน” บนฉลาก ฉลากจะต้องแสดงข้อความเป็นภาษาไทย โดยระบุชื่ออาหาร (ถ้ามี) มีเลขสารบบอาหารในกรอบเครื่องหมาย อย. แสดงชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้แบ่งบรรจุเพื่อจำหน่าย น้ำหนักสุทธิ ระบุข้อความ “ควรบริโภคก่อน” และมีข้อความว่า “ ควรเก็บในที่ร่มและแห้ง ”

            อย่าลืมนะคะ บริโภคไอโอดีนให้เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อเสริมสร้างสติปัญญา ไอคิวดี ไอโอดีนช่วยได้จริงๆ



ที่มา http://www.vcharkarn.com/varticle/42130

จะเลือกใช้สบู่อะไรดี

สบู่นั้นจัดเป็นเครื่องสำอางสำหรับทำความสะอาดร่างกายที่ใช้กันมากในชีวิต ประจำวัน และเป็นสิ่งที่มีการแข่งขันกันในส่วนการตลาดสูง สบู่แต่ละยี่ห้อต่างก็โฆษณาสรรพคุณของตนอย่างพิเศษพิสดาร บ้างก็ว่าเป็นสูตรลับ แต่โบราณ บ้างก็ว่าเป็นวิทยาการ แผนใหม่ สำหรับสบู่ที่ใช้ทั่วไปในชีวิต ประจำวัน มีดังนี้
๑. สบู่ทั่วไป (basic toilet soaps) เป็นสบู่ที่ผลิตจากเกลือของไขมันสัตว์หรือพืช เพื่อใช้ทำ ความสะอาดร่างกาย บางครั้งมีการ ใส่น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันปาล์ม เพื่อทำให้สบู่มีฟองมาก แลดูน่าใช้ ขึ้น เป็นสบู่ที่ใช้กันทั่วไปตามห้องน้ำ มักมีฤทธิ์เป็นด่างเล็กน้อย ยามใด ที่อาบน้ำล้างหน้าด้วยสบู่นี้ ก็ย่อม ขจัดสิ่งที่อยู่บนผิวหนังซึ่งประกอบ ด้วยฝุ่นละออง เครื่องสำอาง น้ำมัน แบคทีเรีย เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ได้แก่ ขี้ไคลและเหงื่อออกไปได้ สบู่ชนิดนี้ปกติได้ผลดีกับผิว หนังของคนทั่วไป ทำความสะอาด ได้หมดจด และมีราคาย่อมเยา แต่ ถ้ามีผิวหนังอ่อนบาง ระคายเคือง ง่าย หรือเป็นโรคผิวหนังอยู่แล้ว สบู่ แบบนี้อาจทำให้ผิวหนังแห้ง และเกิดความระคายเคืองมากเกินไปจึงอาจจำเป็นต้องเลือกสบู่ชนิดอื่น แทน
๒. สบู่ใส (transparent soaps) นั้นมีลักษณะคล้ายสบู่ที่มีไขมันสูง คือมีไขมันผสมอยู่มาก มักมีส่วน ผสมของน้ำมันละหุ่งสูง สบู่ชนิดนี้ เหมาะสำหรับผิวที่แห้งและไวต่อการแพ้ มีการเติมกลีเซอรีน แอล-กอฮอล์ และน้ำตาลลงไปในเนื้อสบู่ เพื่อทำให้เนื้อสบู่ใสและอ่อนนุ่ม
ข้อเสียของ สบู่ชนิดนี้คือ มักไม่ค่อยเป็นฟอง และมักละลายง่าย ในจานรองสบู่ ดังนั้นจึงไม่ควรใส่สบู่แบบนี้ในจานรองสบู่ แต่ควรปล่อยให้แห้ง ในแง่การใช้ไม่พบว่า สบู่ใสดีหรือมีคุณสมบัติเหนือกว่าสบู่ที่มีไขมันสูงในแง่ใด แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของแต่ ละคนด้วย สบู่ชนิดนี้มักมีราคาสูง

๓. สบู่ไร้ฟอง (soapless soaps) มีส่วนประกอบเป็นสารสังเคราะห์ดีเทอร์เจนซึ่งเตรียมจากน้ำมันปิโตรเลียม นักเคมีทาง ด้านเครื่องสำอางได้พยายามปรับปรุงคุณสมบัติของสบู่สังเคราะห์แบบนี้ให้มี ความเป็นด่างน้อย และ ระคายเคืองต่อผิวหนังน้อยลง แม้ สบู่ตัวนี้จะไม่ค่อยมีฟอง แต่ก็ทำ ความสะอาดได้ดีมาก สบู่เหลวไร้ฟองสามารถใช้กับคนที่มีผิวไวต่อ การแพ้ได้ ดังนั้นเวลาล้างหน้าจึงไม่ควรถูหน้าฟอกหน้าแรงๆ เพราะ จะยิ่งทำให้ผิวหน้าแห้งมากขึ้น ใน กรณีที่มีผิวแห้งอยู่แล้ว ถ้าใช้ครีม ให้ความชุ่มชื้นสำหรับผิวหน้าทาหลังล้างหน้าก็จะช่วยได้มาก

๔. สบู่ที่มีไขมันสูง (super-fatted soaps) มีน้ำมันและไขมัน ผสมอยู่ในปริมาณที่สูงกว่าสบู่ทั่วไป ไขมันและน้ำมันที่นิยมใช้ผสม ได้แก่ ลาโนลิน น้ำมันมะกอก เนยโกโก้ไขมันชนิดที่เป็นกลาง และโคลด์ครีม การผสมน้ำมันและไขมันเข้า ไปในสบู่ชนิดนี้ช่วยป้องกันไม่ให้สบู่ ทำให้ผิวแห้งจนเกินไปนัก สบู่ที่มี ไขมันสูงมีทั้งคุณสมบัติในการขจัด ไขมันที่อยู่ที่ผิวหนัง (นั่นคือ ทำให้ ผิวหนังแห้ง) ควบคู่ไปกับการเติม ความชุ่มชื้นให้ผิวหนังโดยน้ำมันและ ไขมันในสบู่ (นั่นคือมีผลเหมือนครีมให้ความชุ่มชื้น) สบู่แบบนี้จึง เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้งและอ่อนบาง

ส่วนสบู่ที่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง คือ

๑. สบู่ยา (medicated soaps) มีตัวยาประกอบอยู่ เช่น กำมะถัน กรดซาลิไซลิก เบนซอยล์เปอร์-ออกไซด์ และยาฆ่าเชื้อโรค ยาพวกนี้อาจใช้ได้ผลในการรักษาโรคผิวหนังบางอย่างจริง เมื่อผสม อยู่ในรูปของครีมและโลชั่น แต่ไม่ มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ยืนยันว่าตัวยาเหล่านี้เมื่อผสมกับ เนื้อสบู่แล้วจะได้ผลประการใดต่อ ผิว ทั้งนี้เพราะเราฟอกสบู่เพียง ชั่วครู่แล้วก็ล้างออก ยาจึงออกฤทธิ์ ไม่ทัน สบู่ประเภทนี้ทำให้ผิวอัก-เสบระคายเคืองได้บ่อยจึงไม่แนะ- นำให้ใช้

๒. สบู่ดับกลิ่นตัว (deodorant soaps) นั้น ตามปกติไม่ควรจะใช้บนใบหน้า กลิ่นตัวเกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียย่อยสลายของ เหลวที่ต่อมเหงื่อ " อะโปครีน " หลั่งออกมา สบู่ดับกลิ่นตัวก็คือสบู่ธรรมดาที่เพิ่มยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลงไป เพื่อยับยั้งไม่ให้แบคทีเรียที่ เป็นตัวการทำให้เกิดกลิ่นบนผิวหนังทำงานได้ สบู่พวกนี้มักมีกลิ่นไม่หอม จึงนิยมผสมน้ำหอมลงไปเพื่อดับกลิ่นยา เนื่องจากผิวหน้าไม่มีต่อมเหงื่ออะโปครีนจึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะใช้สบู่ชนิดนี้ สบู่ดับกลิ่นตัวมักทำให้ผิวแห้ง แต่ ถ้าเป็นคนที่มีกลิ่นตัว สบู่นี้ก็เหมาะ ที่จะใช้ถูตัวโดยเฉพาะบริเวณรักแร้
๓. สบู่ขัดถู (abrasive soaps) มีเศษชิ้นส่วนเล็กๆ ปะปนอยู่ เมื่อ ใช้สบู่ขัดถูอาบน้ำล้างหน้า ชิ้นส่วน เหล่านี้จะขัดถูผิวหนัง จุดประสงค์ ของการใส่ชิ้นส่วนเล็กๆ ก็เพื่อถู ไถเอาชั้นขี้ไคลซึ่งเป็นผิวหนังส่วน นอกสุดที่ไร้ชีวิตแล้วออกไป โดยทั่วไปแล้วคนที่ผิวปกติไม่สมควรใช้สบู่พวกนี้ เพราะถ้าเป็นผิวแห้ง จะทำให้แห้งและระคายเคือง หาก เป็นคนที่มีหน้ามัน ผิวมันมากจริงๆ สบู่ขัดถูนี้อาจช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้ ในกรณีที่ผิวหน้ามีสิวหรือมีการอักเสบอยู่แล้ว ไม่แนะนำให้ใช้สบู่ ขัดถู ทั้งนี้เพราะจะทำให้ทั้งสิวและ ใบหน้าอักเสบระคายเคืองยิ่งขึ้น

๔. สบู่ที่มีส่วนผสมของผลไม้ ผัก และสมุนไพร (fruit, vegetable and herbal soaps) คือสบู่หรือ  ดีเทอร์เจนที่มีการใส่ส่วนผสมต่างๆ" ตามธรรมชาติ " ลง ไป เพื่อเร้าความสนใจของผู้ซื้อว่า สบู่นี้จะช่วยดูแลรักษาสุขภาพผิวโดยสาร ธรรมชาติที่มาหล่อเลี้ยงและเป็นอาหารให้ผิวหนัง แต่แท้จริงแล้วส่วนประกอบของสบู่พวกนี้ ไม่แตกต่างไปจากสบู่ทั่วไปเลย ส่วน ผสมของผลไม้ ผัก และสมุนไพร ที่แต่งเติมลงไปอาจช่วยให้สบู่มีกลิ่นมีสีน่าใช้มากขึ้น แต่สารเหล่า นี้โดยแท้จริงแล้วไม่ได้มีประโยชน์ อะไรต่อผิว จะมีประโยชน์ก็แต่กับ ผู้ผลิต เพราะสบู่พวกนี้มีราคาสูง
สบู่นั้นจะช่วยเพียงแค่ขจัดสิ่งสกปรกออกจากผิวหนัง แต่ไม่สามารถทำให้ผิวอ่อนเยาว์ลงได้ หรือไม่สามารถขจัดรอยเหี่ยวย่นเหี่ยวแก่ ควรเลือกสบู่ที่อ่อนที่สุดใช้แล้วผิวไม่แห้งหรือแห้งน้อยที่สุด และระคายเคืองน้อยที่สุด